วิเคราะห์ สปอย The Platform ทั้ง 2 ภาค บทสรุปของชนชั้นคุกทั้ง 333 ชั้น

วิเคราะห์ สปอย The Platform ทั้ง 2 ภาค บทสรุปของชนชั้นคุกทั้ง 333 ชั้น

วิเคราะห์ สปอย The Platform ทั้ง 2 ภาค

บทสรุปของชนชั้นคุกทั้ง 333 ชั้น

     วิเคราะห์ สปอย The Platform ทั้ง 2 ภาค กับหนังฮิตใน Netflix กับ เดอะ แพลตฟอร์ม เรื่องที่เกี่ยวกับคนที่ยอมเข้าร่วมการทดลอง โดยต้องไปอยู่ในคุกทั้งหมด 333 ชั้น โดยเราไม่อาจรู้ได้เลยว่าแต่ละเดือนเราจะถูกสุ่มแรนด้อมไปอยู่ในชั้นไหน ชีวิตจะสุขสบายหรือจะลำบากตรากตรำ เพราะบางเดือนเราอาจได้อยู่ชั้นสูงๆ กินอะไรดีๆ ก็จริง แต่ในเดือนถัดไป ใครจะไปรู้ว่าเราอาจโดนสุ่มไปอยู่ชั้นล่างสุดก็เป็นได้

     เนื้อเรื่องย่อ ทำความรู้จักกับ The Platform

     สำหรับใครที่ยังไม่เคยดูเรื่องเดอะ แพลตฟอร์มมาก่อน กำลังพิจารณาหรือสนใจหน่อยๆ เราก็จะมาแนะนำเนื้อเรื่องย่อแบบไม่สปอยก่อน โดยจะเป็นเรื่องเล่าของคนหลายเชื้อชาติ หลากเพศ หลากวัย แต่ทุกคนที่เข้ามาอยู่ในคุกแห่งนี้ล้วนสมัครใจทั้งนั้น ตามสัญญาและข้อตกลงนั้นจะมีการถามคำถามที่น่าสนใจ 2 ข้อด้วยกัน ข้อแรกคือ ถ้าคุณต้องกินอาหารมื้อเดิมซ้ำๆ ทุกวัน คุณจะเลือกทานเมนูอะไร และข้อสองคือ ถ้าเลือกนำอะไรก็ได้ติดตัวมากับคุณด้วยจะเลือกสิ่งไหน? ต้องคิดให้ดีเลยล่ะนะ เพราะคำตอบของสองคำถามนี้จะต้องอยู่กับคุณไปอีกนาน

     เอาล่ะ มาถึงเรื่องย่อโดยสังเขปกันบ้าง หลังจากที่แต่ละคนได้เข้ามา ก็จะมีรูมเมทอีกฝั่งซึ่งเป็นการสุ่ม และมีถาดอาหารที่เคลื่อนที่มาหยุดให้เราทานในแต่ละชั้น ซึ่งหากเราอยู่ชั้นสูงๆ ก็จะมีกฎระเบียบที่แม่นยำ ก็คือเราต้องกินอาหารเมนูที่เราเลือกไว้นั่นเอง และสภาพอาหารก็จะดูดี น่ารับประทาน แต่หากเราอยู่ชั้นล่างๆ ที่อาหารหดน้อยลงเรื่อยๆ แน่นอนว่าคงไม่น่าอภิรมย์เท่าไหร่นั้น ผู้คนจะเริ่มไม่ทำตามกฎด้วยความหิวโหย บางคนอาจเหยียบ กระทืบอาหาร ทีนี้ก็อยู่ที่ความเอาตัวรอดเราแล้วล่ะนะว่าจะทำยังไงต่อ หลายคนอาจคิดว่าก็กักตุนอาหารสิ บอกเลยว่าคิดผิดสุดๆ เพราะหากเรากินอาหารไม่หมดในระยะเวลาที่กำหนด เมื่อถาดอาหารเคลื่อนไปยังชั้นล่าง อุณหภูมิชั้นของเราอาจพุ่งสูงจนเผาไหม้เราทั้งเป็น หรือไม่ก็ลดไปต่ำสุดแช่แข็งเราให้ตาย อ่านถึงตรงนี้ หากใครสนใจอยากไปดูเอง เราขอแนะนำให้หยุดแต่เพียงเท่านี้ เพราะหลังจากนี้จะเป็นการสปอยเนื้อเรื่องของหนังแล้ว

     เดอะ แพลตฟอร์ม หนังที่ทำออกมาเสียดสีสังคม กับประเด็นที่น่าสนใจ

     ประเด็นในหนังของเรื่องนี้น่าสนใจมาก ทำให้เราตีความได้หลากหลาย โดยถ้าดูจริงๆ แล้วนั้น ภาค 2 จะเป็นจุดเริ่มต้น โดยผู้หญิงหรือนางเอกที่นำเรื่องนั้นเป็นแฟนกับพระเอก ในภาค 1 นั่นเอง เท่ากับว่าพระเอกในภาค 1 นั้น ยอมเข้าคุกนี้มาเพื่อตามหาแฟนของตนนั่นเอง มาดูประเด็นที่น่าสนใจกันบ้างดีกว่า

     การสุ่มแรนด้อมแต่ละชั้น

     ในคุกจะมีทั้งหมด 333 โดยชั้น 0 เป็นการรังสรรค์เมนูทั้งหมดก่อนจะมีกระบวนการนำไล่ลงมาแต่ละชั้น ยิ่งได้อยู่ชั้นบนๆ ก็เหมือนอยู่บนสวรรค์ ได้กินอะไรดีๆ สภาพดี สดใหม่ ส่วนชั้นล่างๆ ก็เปรียบดั่งนรก ที่เราไม่รู้เลยว่าจะเหลืออะไรให้เรากินบ้าง ก็เปรียบดั่งชีวิตของคนเรา ที่มีช่วงขาขึ้นและขาลง โดยระบบนี้ก็ไร้ซึ่งอคติทั้งปวง เป็นการสุ่ม แรนด้อม แบบ 100%

     การจัดตั้งกฎระเบียบ “ศาลเตี้ย”

     ในภาค 2 ที่ถือว่าเป็นภาคเริ่มต้นกฎระเบียบต่างๆ โดยจะมีกลุ่มศาลเตี้ย ที่ตั้งกฎมาว่า ใครที่เลือกเมนูอะไรแล้วนั้นก็ต้องกินเมนูนั้นๆ ไปตลอด ห้ามกินเมนูของคนอื่น หากมีใครแหกกฎ เหล่าศาลเตี้ยจะจับกลุ่มมาลงโทษตามความหนักเบา บางคนอาจโดนตัดแขนตัดขา โทษหนักสุดคือจับแก้ผ้า ขึงกับชั้นอาหารที่ค่อยๆ เคลื่อนตัวไป และทุกคนก็จะรุมแทง ฆ่าให้ตายทั้งเป็นจนกว่าจะเสียชีวิต ซึ่งก็เหมือนกับระบบเผด็จการในสังคม ที่ไม่ได้มีคนยินยอมแต่ต้องยอมจำนน

     แนวคิดที่แตกต่างของการเป็น “ผู้นำ”

     ในภาค 1 เราจะเห็นว่าพระเอกมีมุมมองที่ขับเคลื่อนไปตามชั้นอาหาร เพื่อแจกจ่าย แบ่งอาหารให้ผู้อื่นแบบกำหนดปริมาณ เพื่อที่จะได้กระจายให้ทุกคนได้กินและอยู่รอดไปในทุกๆ ชั้น ส่วนในภาค 2 นางเอกนั้นได้รวบรวมคนแต่ละชั้นให้เป็นกบฏต่อต้านศาลเตี้ย เพราะมีความคิดว่าเราทุกคนมีสิทธิ์ที่จะทำตามที่เราอยากทำ กินอยากที่เราอยากกิน ซึ่งบอกเลยว่าผลลัพธ์ของทั้งสองคนก็ไม่ได้ออกมาดีนักเท่าไหร่ ก็เหมือนกับการตัดสินใจของผู้นำที่มีผิดพลาด นำไปสู่หนทางที่ย่ำแย่

     ความหวังในชั้นที่ 333

     จุดเชื่อมโยงของทั้งพระเอกและนางเอกในภาค 1 และ 2 ที่นอกจากจะเป็นแฟนกันแล้วนั้น ยังมีความคิดเรื่องของการส่งสัญญาญหรือสัญลักษณ์โดยใช้ “เด็ก” เพราะจริงๆ ตามกฎได้บอกว่าห้ามมีเด็กต่ำกว่า 16 อยู่ในคุกแห่งนี้โดยเด็ดขาด แต่ช่วงก่อนจบเราจะเห็นว่ามีเด็กนำมาทิ้งไว้ในชั้นล่างสุด ซึ่งพระเอกและนางเอกก็ได้ช่วยไว้ โดยการส่งเด็กจากชั้นล่างให้ดีดกลับขึ้นไปชั้นบนสุดอย่างชั้น 0 ในท้ายที่สุดแล้วเราจะได้เห็นว่าทั้งสองคนก็มองเด็กเป็นเหมือนความหวัง เหมือนโลกของเราที่มองเด็กเป็นอนาคต หวังให้เขาเติบโตและเปลี่ยนอะไรๆ ให้มันดีขึ้น

     บทสรุปตอนสุดท้ายของเรื่องก็คงหนีไม่พ้นกับที่เราจะเห็นว่ามีผู้คนมากมายมาต้อนรับพระเอก นางเอก แต่หนังจงใจทำเหมือนคนรุมกินทึ้งเหมือนซอมบี้ แต่ที่แท้จริงแล้วก็คือดวงวิญญาณนั่นเอง ใครที่มาถึงชั้น 333 คือไม่มีทางรอดชีวิต จะเปรียบว่าได้บรรลุ ยอมเสียสละชีวิตตัวเองเพื่อให้เด็กเป็นอนาคตก็ว่าได้ แล้วถ้าเป็นคุณล่ะ หากตกอยู่ในสถานการณ์เหล่านั้นคุณจะทำยังไง? แล้วเมนู และสิ่งที่จะพกเข้าไปด้วยคืออะไร ทาง Cutebix ขอทิ้งคำถามชวนให้คิดตามไว้เพียงเท่านี้ หากใครสนใจสามารถไปดูต่อหรือดูซ้ำได้ที่ทาง Netflix

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *